เพื่อคนรุ่นต่อไป

Guangming C. Sangkeettrakarn
1 min readJul 17, 2017

--

เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมมีโอกาสได้สนทนากับอาจารย์ชาวญี่ปุ่นที่มาเยี่ยมออฟฟิศ เราพูดคุยกันถึงงานวิจัยต่างๆ ด้านการวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึก(Sentiment Analysis) ซึ่งเป็นความพยายามที่จะทำให้คอมพิวเตอร์เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ เมื่อเราพูดถึง sentiment analysis ก็คือศาสตร์วิชาแขนงหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้การทำเหมืองข้อความ(Text Mining) และการทำเหมืองข้อมูล(Data Mining) ตามลำดับ การทำเหมืองในที่นี้เป็นศัพท์ทางวิชาการ ซึ่งก็คือการวิเคราะห์นั่นเองครับ เป็นที่สังเกตอย่างหนึ่งว่า การวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึกที่ว่านี้ ก็คือการพยายามทำความเข้าใจความรู้สึกของคนที่แสดงออกมาผ่านทางข้อมูลที่เป็นข้อความตัวหนังสือ และด้วยประเด็นนี้เองทำให้เกิดคำถามระหว่างการสนทนาขึ้นมาว่า เราพยายามสร้างเครื่องมือทางคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อรับรู้ความรู้สึกของคนจากตัวหนังสือ ในขณะที่คนเรานั้นใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการรับรู้และเกิดความรู้สึก ได้แก่ การมองเห็น การได้กลิ่น การรับรส การฟังเสียง และการสัมผัส นั่นหมายความว่า sentiment analysis เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของการวิเคราะห์ความรู้สึกที่มาจากการมองเห็นข้อความเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่รับรู้ได้ด้วยการมองเห็น ยังมีทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว สีหน้า ท่าทาง อีกมากมายที่เทคนิคหรือเทคโนโลยีต่างๆ ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ หรือแม้กระทั่งเสียงซึ่งก็คือการรับรู้ด้วยการฟัง แม้พยายามทำความเข้าใจ ก็ทำได้เพียงระบุว่ามันคืออะไร แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า มันรู้สึกอย่างไร แล้วการรับรู้ด้านอื่นๆ ที่เหลือ คือ การสัมผัส การรับรส การได้กลิ่น เราต้องสร้างเครื่องมือ สร้างเทคโนโลยีอย่างไรเพื่อให้เข้าใจความรู้สึกที่จะส่งผ่านทางช่องทางเหล่านั้นได้ คำถามเหล่านี้สะกิดใจและกระตุ้นต่อมความคิดของผม

แม้เราจะพอเข้าใจได้ถึงข้อจำกัดและความยากลำบาก ว่าในการทำวิจัยและพัฒนาให้ได้แบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะหยุดยั้งหรือปิดกั้นการคิดค้นต่อไป ในอนาคตข้อมูลที่เราโพสต์ในโซเชียลมีเดีย อาจไม่ได้มีแค่ตัวหนังสือ ภาพ วีดิโอ และเสียง แต่อาจจะมีทั้งกลิ่น รส รูปร่างทางกายภาพให้สัมผัส การสั่งซื้อน้ำหอมผ่านช่องทางออนไลน์ อาจมีตัวอย่างกลิ่นให้เราลองดม หรือสั่งอาหารก็มีให้ลองชิมผ่านทางเว็บไซต์ก่อน

หากมองย้อนกลับไป การปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์(Human-Computer Communication)ก็มีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ เมื่อก่อนเราสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ผ่านทางคีย์บอร์ดและเมาส์ พอเริ่มมีระบบสัมผัส(touch screen) เราเลิกใช้เมาส์และคีย์บอร์ด เปลี่ยนมาเป็นการกดปุ่มและสัมผัสสั่งงานโดยตรงผ่านหน้าจอ นอกจากนั้นก็เริ่มเห็นการสั่งงานด้วยเสียง จนกระทั่งมีการสั่งงานผ่านท่าทางต่างๆ (gesture) เหมือนในปัจจุบัน เคยสังเกตกันไหมครับ เวลาไปเดินห้างแล้วเราต้องการใช้งานตู้ Kiosk ที่วางอยู่ตามจุดต่างๆ หากเป็นคนรุ่นก่อนก็จะพยายามมองหาเมาส์คีย์บอร์ดก่อนว่าจะสื่อสารกับตู้นี้อย่างไร คนรุ่นถัดมาจะพยายามกดๆ แตะๆ ที่หน้าจอ เพื่อหาปุ่มที่อาจจะซ่อนอยู่ในระบบ แต่ถ้าเป็นเด็กที่เกิดในยุคนี้ เขาจะเอามือปัดซ้ายขวาขึ้นลง ที่หน้าจอ เพราะเขาคิดว่าอะไรก็ตามที่เป็นหน้าจอมันจะตอบสนองต่อท่าทางต่างๆ เหมือนที่เขาเคยใช้กับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่บ้านมาทั้งชีวิตนั่นเอง นี่คือการรับรู้ของคนต่างรุ่นต่างวัยครับ

งานวิจัยจึงไม่ควรมองแต่เพียงการแก้ปัญหาในโลกปัจจุบัน แต่ต้องมองยาวไปถึงอนาคต มองว่าคนในรุ่นถัดไป(next generation) จะเป็นอย่างไร ปัญหาใน 20–30 ปีข้างหน้าคืออะไร เช่น ปัญหาโลกร้อน ปัญหาโครงสร้างประชากรที่เราจะก้าวไปสู่ยุคสังคมผู้สูงอายุ แม้หลายคนอาจจะคิดว่า คนรุ่นถัดไปเขาควรจะมีส่วนในการสร้างโลกสร้างอนาคตของเขาเอง แต่ที่ผ่านมา เราก็พอเห็นกันบ้างว่า ที่เราอยู่กันได้อย่างสุขสบายวันนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากสิ่งที่บรรพบุรุษรุ่นก่อนสร้างไว้ให้ ดังนั้นในฐานะที่เราก็เป็นบรรพบุรุษของคนรุ่นถัดไป จึงต้องสร้าง วางเค้า ร่างโครงเพื่ออนาคตของพวกลูกหลานไว้บ้าง เพราะปัญหามากมายไม่ได้รั้งรอไปจนถึงอนาคตได้นั่นเอง

--

--

No responses yet