การอดทนรอคอยที่น้อยลง
รู้สึกกันไหมครับว่า ทุกวันนี้ เรามีความอดทนต่อเรื่องต่างๆ กันน้อยลงทุกที อดทนต่อการรอคอยได้น้อยลง ทุกอย่างรอบตัวดูรีบร้อนไปเสียหมด จนบางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าระหว่างใจกับอากาศอะไรจะร้อนกว่ากัน เมื่อคนมีความอดทนต่อกันน้อยลง ก็ย่อมเกิดปัญหามากมายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ในสังคมพันกันไปหมด เกิดความไม่เข้าใจกัน ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีใครฟังใคร มีข่าวให้เราเห็นตามสื่อไม่เว้นแต่ละวัน จึงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า นี่เราเร่งรีบกันไปหรือเปล่า ช้าลงกว่านี้ได้ไหม ทำให้ผมนึกไปถึงสมัยที่ยังมีจดหมายเป็นช่องทางสื่อสารหลัก แน่นอนว่ายังไม่มีแบบส่งพิเศษ EMS ด้วยครับ สมัยนั้นเราเขียนจดหมายถึงกัน อาจต้องรอกันเป็นเดือนๆ กว่าจะสื่อสารสักเรื่องกันได้ พอเริ่มเข้าสู่ยุคที่มีโทรศัพท์สาธารณะ เราก็ใช้การเขียนจดหมายถึงกันน้อยลง โทรหากันมากขึ้น แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่ายและสถานที่ ก็อาจทำให้เราต้องรอคอยกันอยู่บ้าง เช่น รอให้สว่างก่อน ค่อยออกไปโทร จนมาถึงสมัยนี้ที่แทบทุกคน มีมือถือ มีสมาร์ทโฟน ติดตัวกันเกือบตลอดเวลา แทบไม่มีเหตุผลอะไรให้เราต้องรอ ถ้าจำเป็นต้องติดต่อใครสักคน ถ้าจะถามว่าปัญหาของสมัยก่อน กับสมัยนี้ต่างกันหรือไม่ ก็คงไม่ต่างกัน ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหา จะต่างกันก็ตรงที่เมื่อก่อน เมื่อเราเกิดปัญหา เราต้องอดทนรอ เพราะข้อจำกัดของช่องทางสื่อสาร แต่ทุกวันนี้เรามีทั้งเครื่องมืออุปกรณ์และช่องทางสื่อสาร พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง ทันทีที่เรามีปัญหา ก็สามารถแสดงออกได้ทันที และแน่นอนว่า ไม่เพียงแค่ข้อเท็จจริงของปัญหาเท่านั้น อารมณ์ความรู้สึก คำพูดต่างๆ มักตามมาด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน กว่าเราจะเดินทางไปแจ้งเรื่อง อารมณ์โกรธ หงุดหงิดที่เกิดในช่วงแรกๆ อาจจะคลายลงไปหมดแล้ว
คำถามต่อมา แล้วคนในสมัยนี้ จะมีเวลานานแค่ไหนที่จะตัดสินใจว่าสิ่งใดควรค่าที่จะรอหรือยอมทิ้งไปเลย สำหรับผมคิดว่าช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายคือ 5 วินาที เท่านั้นครับ สังเกตง่ายๆ มันคือ ช่วงต้นของโฆษณาใน Youtube ซึ่งคิดว่าส่วนใหญ่น่าจะเคยพบเจอกันอยู่ประจำ เจ้าของโฆษณามีเวลาแค่ 5 วินาที ที่ท้าทายมาก ว่าจะสร้างเนื้อหาของโฆษณาอย่างไรให้โดนใจผู้ชมและเขาไม่กดข้าม(skip) แต่นั่งดูจนจบ อาจจะ 1–3 นาทีหรือมากกว่านั้นได้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว งบประมาณที่ทำโฆษณาชิ้นนั้นขึ้นมาก็เสียเปล่า เพราะทันทีที่ครบ 5 วินาที ผู้ชมก็กดข้ามไปกันหมด
ด้วยความที่มีข้อมูลมากมาย หลั่งไหลเข้ามาหาเราตลอดเวลา ทำให้เราพบทางเลือกอื่นๆ เสมอ นั่นยิ่งทำให้เราไม่อยากเสียเวลารอ หากว่ามีสิ่งอื่นที่อาจจะดีกว่า มาเป็นตัวเลือกหนึ่ง เช่น จะไปทานข้าวในห้าง ปรากฏว่าร้านอาหารที่จะไปมีคิวรอยาวเหยียด ลูกค้ามีสองทางเลือกคือยอมรอหรือไปกินร้านอื่น ด้วยพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่เช่นนี้ ทำให้เทคโนโลยีหรือแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน(Planing) การคาดการณ์(Prediction) การจัดการ(Management)ต่างๆ เป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้สำหรับคนในปัจจุบัน เช่น ร้านอาหารมีระบบจัดคิว สามารถจองคิวไว้ก่อน สั่งอาหารไว้ก่อน พอไปถึงร้านก็สามารถเข้าไปทานได้เลย แต่ก่อนหน้านั้น ต้องตรวจสอบสภาพจราจรผ่านแอปพลิเคชันก่อนว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่าจะเดินทางไปถึง แล้วถ้าจะออกเดินทางในเวลานั้น มีอะไรต้องทำก่อนหรือไม่ ก็เปิดดูนัดหมายต่างๆ ในแอปพลิเคชันอีกเช่นกัน หากช่วงเวลาไม่ลงตัวก็ต้องขยับกิจกรรมอื่น แต่หากมีเวลาเหลือมากพอในช่วงเวลาที่ต้องรอ ผมเชื่อว่าหลายคนก็ไม่อยากไปยืนรอ ก็จะพยายามหากิจกรรมอื่นทำระหว่างนั้น เพราะเทคโนโลยีทำให้คาดการณ์ไว้ได้ค่อนข้างแม่นยำ ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะได้นั่งที่โต๊ะ
การที่เรามีเทคโนโลยี มีอุปกรณ์และข้อมูลอยู่ในมือตลอดเวลา สิ่งที่เราต้องการอย่างมากในเวลานี้คือ อะไรก็ได้ที่ทำให้เราจัดการวางแผนการใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า หลายท่านอาจจะมีชีวิตคล้ายๆ กับที่ผมเล่ามา ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ในมุมหนึ่งของการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าสำคัญคือ การเว้นช่องว่าง เสียบ้าง เพราะอย่างไรคนก็คือสิ่งมีชีวิต ไม่เหมือนคอมพิวเตอร์หรือหุ่นยนต์ที่สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน การทำสิ่งต่างๆ ได้ตรงตามเวลาที่กำหนดนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเราเพิ่มปริมาณสิ่งที่ต้องทำให้ได้ตามกำหนดลงไปในตารางเวลาของแต่ละจนหมด คงเครียดและกดดันน่าดู ที่ต้องทำตามแผนเหล่านั้น หากกิจกรรมใดไม่เป็นตามแผน ก็ยิ่งกระทบกิจกรรมที่เหลือ ฟังดูก็น่าปวดหัวแล้วใช่ไหมครับ ลองเพิ่มช่องว่างลงไปในตารางเวลาของชีวิตดูนะครับ ถามตัวเราเองว่า ชีวิตนี้ต้องเร่งรีบขนาดไหน การเพิ่มช่องว่างลงไป ทำให้เราพอมีเวลาที่จะกลับมาทบทวนตัวเรา มีเวลาทำใจให้เย็น สงบ ไม่เกรี้ยวกราดหงุดหงิดกับคนรอบข้าง มีความอดทนมากขึ้น พอใจที่จะรอได้มากขึ้น คิดใหม่ว่าการรอ อาจไม่ใช่การทำให้เสียเวลา แต่คือการที่ทำให้ชีวิตได้หยุดเว้นว่างเสียบ้างนั่นเองครับ
คุณล่ะครับ สามารถอดทนรอสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานแค่ไหน :)