หยั่งรู้ฟ้าดิน
ในเรื่องสามก๊ก ขงเบ้งได้แสดงความสามารถที่น่าทึ่งหลายครั้งหลายครา จนเป็นที่ร่ำลือว่าเขาคือผู้วิเศษ มีพลังดั่งเทพยดา หยั่งรู้ฟ้าดิน มีอำนาจเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกลมช่วยทัพของจิวยี่ในศึกผาแดงหรือการอำพรางในหมอกเพื่อหลอกเอาลูกธนูจากโจโฉ สามารถสั่งฟ้าสั่งลมควบคุมฟ้าดินได้อย่างใจ นั่นคือในนิยาย แม้จะอิงประวัติศาสตร์แต่ก็เจือด้วยจินตนาการอยู่พอสมควร เพื่อให้เนื้อหาดูน่าสนใจและน่าติดตามมากยิ่งขึ้น ถ้าเทียบกับสมัยปัจจุบัน หลายคนพูดขำ ๆ ว่า แท้จริงแล้ว ขงเบ้งฟังข่าวพยากรณ์อากาศมาก่อนต่างหาก จึงรู้ล่วงหน้าว่าเมื่อไหร่จะมีลม เมื่อไหร่จะมีหมอก นั่นเพราะด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันที่เรามี ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์อีกต่อไป ที่จะรู้ล่วงหน้าสักสามวันเจ็ดวันหรือมากกว่านั้น ว่าวันใด เวลาใด พื้นที่ใด จะมีลมพายุหรือหมอกลงจัด เราสามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ค่อนข้างแม่นยำ
นอกจากสั่งดินฟ้าได้อย่างใจ ขงเบ้งสามารถปะทะคารมชนะเหล่าที่ปรึกษาของซุนกวนนับสิบได้อย่างราบคาบ ที่หลายท่านอาจจะพอเคยได้ยินในชื่อ สงครามลิ้น ในตอนนี้อาจจะเห็นว่าเหตุผลที่ไม่มีใครโต้คารมชนะขงเบ้งได้เลย คงเพราะขงเบ้งมีไหวพริบปฎิภาณเหนือทุกคน แต่สำหรับผม อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ขงเบ้งอยู่เหนือทุกคน เพราะขงเบ้งมีข้อมูลเชิงลึก(Insight)ของเหล่าที่ปรึกษาเหล่านั้นทุกคน ดังนั้นไม่ว่าใครจะเปิดประเด็นใดมา ขงเบ้งก็สามารถสวนด้วยหมัดเด็ดน็อคกลับไปทุกราย เพราะการรู้ข้อมูลระดับ Insight นั้น ทำให้เราวางยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ได้เหนือชั้น มากกว่าการรู้เพียงข้อมูลพื้นฐานทั่วไป(Basic Information) ที่ใครๆ ก็รู้ได้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมภาคธุรกิจจึงพยายามอย่างมากที่จะเข้าถึง Insight ของลูกค้าให้ได้ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ ก่อนที่ขงเบ้งจะข้ามฟากไปเมืองกังตั๋งเพื่อไปช่วยจิวยี่รบกับโจโฉ คงพอคาดคะเนได้ว่าเมื่อไปถึงแล้ว คงมีเหล่าที่ปรึกษาต้องการมาลองภูมิแน่นอน ขงเบ้งเลยค้นหาดูในกูเกิลว่าที่ปรึกษาซุนกวนมีใครบ้าง แล้วคงเข้าไปแอบ “ส่องเฟซ” ของบรรดาที่ปรึกษาแต่ละคนไว้ก่อน ภาษาวัยรุ่น หมายถึงการเฝ้าติดตามพฤติกรรม เข้าไปดูว่าเป้าหมายทำอะไรบ้าง โพสต์อะไรบนเฟซบุ๊กบ้าง อาจจะสืบต่ออีกสักหน่อย ว่ามีข้อมูลที่เกี่ยวข้องในช่องทางอื่นอีกหรือไม่ เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ว่า คนนี้มีจุดอ่อนจุดแข็งอะไร ชอบไม่ชอบอะไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร จะรับมืออย่างไร
ผมเชื่อว่าหลายท่านกำลังแอบขำกับสิ่งที่ผมเล่ามา แต่ขณะเดียวกัน ก็รู้ดีว่าสถานการณ์แบบนี้ เป็นไปได้อย่างมากในปัจจุบันและมีตัวอย่างให้เห็นอยู่เป็นประจำ ว่าการจะหาข้อมูล Insight ระดับบุคคลซึ่งมีตัวตนอยู่ในโลกออนไลน์นั้น สามารถทำได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะคนที่ละเลยหรือไม่ใส่ใจกับข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญของตัวเอง(Privacy) ที่คิดว่าการโพสต์เฉพาะในพื้นที่จำกัดหรือระบบมีการป้องกันด้วยรหัสผ่านแล้วก็จะรักษาความลับนั้นไว้ได้ แต่ในความเป็นจริง ข้อมูลใดก็ตามที่ขึ้นไปอยู่บนโลกออนไลน์แล้ว ย่อมมีหนทางที่จะเอามันออกมาได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจใช้เทคนิคหรือเครื่องมือต่างๆ ช่วย กับความพยายามอีกนิดหน่อย ก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง ดังนั้นการจะแสดงออกหรือการโพสต์ข้อมูลใดไว้บนอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ ต้องตระหนักไว้ให้ดีอยู่เสมอว่าข้อมูลเหล่านั้นอาจถูกเข้าถึงและนำไปใช้ จึงควรหลีกเลี่ยงที่จะโพสต์ข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ พาสต์ปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ เพราะการหยั่งรู้ฟ้าดิน อ่านจิตใจคน ล่วงรู้ข้อมูลเบื้องลึก ไม่ต้องใช้ระดับยอดคนเมื่อพันกว่าปีที่แล้วอย่างขงเบ้ง แต่ทุกวันนี้ ใครๆ ก็ทำได้ …
ช่วงนี้เห็นข่าวกระแส AI แบ่งเป็นสองฟาก #ทีมมาร์ก กับ #ทีมมัสก์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเขาจัดทีมกันเอง หรือกองเชียร์จัดทีมกันเอง … แต่ดูจากความเห็นที่ยกตัวอย่างมา ผมไม่ค่อยแปลกใจถ้า Facebook + Google + Amazon จะผนึกกำลังกัน ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากทั้งสามค่ายนี้ ถือ #Insight ของคนทั้งโลกไว้ในกำมือ ซึ่ง Insight นี่แหละ ที่สร้างมูลค่าทางธุรกิจได้มหาศาล … ยุคนี้เรากลับไปสู่ยุคการทำเหมืองกันอีกครั้ง แม้ไม่ได้ขุดหาอัญมณีหรือแร่ใดๆ แต่สิ่งที่กำลังขุดก็มีมูลค่ามากมายเช่นกัน ทั้งเงินดิจิทัล และ Insight จาก Big Data …